วันจันทร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2556

การใช้คำสั่ง SQL SELECT

SQL SELECT
เป็นคำสั่งที่ใช้สำหรับการเรียกดูข้อมูลในตาราง (Table) คำสั่ง SQL SELECT สามารถเรียกได้ทั้งตาราง หรือว่า สามารถระบุฟิวด์ที่ต้องการเรียกดูข้อมูลได้


SELECT Column1, Column2, Column3,... FROM [Table]

ตาราง  product
pro_ID
pro_Name
pro_price
P001
น้ำส้ม40
P002
นม10
P003
น้ำองุ่น3000
P004
น้ำเปล่า10


ตัวอย่าง1 การเลือกข้อมูลบางฟิวด์

SELECT pro_IDpro_Name FROM product

แสดงผล

pro_ID
pro_Name
P001
น้ำส้ม
P002
นม
P003
น้ำองุ่น
P004
น้ำเปล่า



ตัวอย่าง2 การเลือกข้อมูลทั้งหมดของ Table 

SELECT * FROM product

Output 

pro_ID
pro_Name
pro_price
P001
น้ำส้ม40
P002
นม10
P003
น้ำองุ่น3000
P004
น้ำเปล่า10

วันเสาร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2556

META TAG คืออะไร

META TAG
meta tag
มีความสำคัญต่อการค้นหาใน Google เพราะเปรียบเสมือนตัวช่วยให้ผู้อื่นทราบที่อยู่ของเว็บไซตืเราได้ง่ายยิ่งขึ้น
ตัวอย่าง meta tag ในส่วน html

<head>
<title>GAME | WEBTHAI | เกมส์ |เว็บไทย </title> 
<meta http-equiv="Content-Type" content="text/html; charset=utf-8" />
<meta name="Description" content="GAME|GAME ONLINE | GAME FLASH | เกมส์ | เกมส์แฟลช เกมส์แต่งตัว เกมส์ทำอาหาร เกมส์ต่อสู้" />
<meta name="KeyWords" content="GAME, GAME ONLINE, GAME FLASHเกมส์, เกม, game, เกมส์แต่งตัว, เกมส์ทำอาหาร, เกมส์ออนไลน์, games, เล่นเกมส์, เล่นเกม, Game Center" />

ลำดับความสำคัญของ meta tag 
1. Title คือส่วนที่ Google ให้ความสำคัญในการค้นหามากที่สุด
<title>GAME | WEBTHAI | เกมส์ |เว็บไทย </title>
มันจะไปปรากฏตรง Title Bar ของเว็บไซต์สังเก็ตได้จากภาพด้านล่าง



2. Tag Description
<meta name="Description" content="GAME|GAME ONLINE | GAME FLASH | เกมส์ | เกมส์แฟลช เกมส์แต่งตัว เกมส์ทำอาหาร เกมส์ต่อสู้" />
คือคำอธบายเว็บไซต์ของเราส่วนนี้ก็มีความสำคัญต่อการค้นหามาก

3. Tag Keyword
<meta name="KeyWords" content="GAME, GAME ONLINE, GAME FLASHเกมส์, เกม, game, เกมส์แต่งตัว, เกมส์ทำอาหาร, เกมส์ออนไลน์, games, เล่นเกมส์, เล่นเกม, Game Center" />
เป็นส่วนที่ใส่คำที่จะใช้ในการค้าหาเว็บเรา ขอแนะนำว่าจะใส่คำที่ซำ้กันเกิน 3 คำอาจจะโดน Google แบนเอาได้

sitemap คืออะไร

sitemap คืออะไร
        การทำ sitemap.xml เป็นการทำให้ตัวค้นหาของ Google สามารถค้นหาลิ้งภายในเว็บเราได้รวดเร็วยิ่งขึ้นหลักการก็คือ เมื่อ Google เข้ามายังเว็บไซต์ก็จะเข้าไปยัง sitemap.xml ที่เราสร้างขึ้นโดยไม้ต้องเสียเวลาในการค้นหาลิ้งค์แต่ละหน้าของเว็บไซต์เราทำให้ Google เก็บข้อมูลของเว็บเราได้ง่ายยิ่งขึ้น



Robots.txt คืออะไร ใช้ทำอะไร

Robots.txt 

Robots.txt คือ การกำหนดวิธีที่ป้องกันไม่ให้ spider หรือ bot เข้ามาเก็บหน้าเว็บเพจต้องห้ามของเรา Spider หรือ Bot เป็นโปรแกรมของ Search Engine ที่ทำตัวเป็นนักค้นหาและท่องเว็บจากนั้นจะทำการบอกให้ ระบบ Search Engine Database ว่าควรเก็บหน้าเว็บเพจนั้นไว้หรือไม่
robots.txt เป็น fileที่บอก Search engine ว่า ” ไม่ต้องมาเก็บเว็บไซต์ของฉัน หรือหน้าเว็บบางหน้า หรือไฟล์บางไฟล์ โรบอต (Robot) เป็นโปรแกรมเก็บข้อมูลในอินเตอร์เน็ต ซึ่งบางครั้ง เรียกว่าสไปเดอร์ (Spider) หรือ ครอว์เลอร์(Crawler) จะทําหน้าที่รวบรวมไฟล์ HTML
เพื่อมาเป็นข้อมูล สําหรับสร้างดัชนีค้นหา ให้กับ เสิร์จเอ็นจิน (Search Engine) โดยทั่วไปแล้ว โรบอตจะกลับมาที่เว็บไซต์ที่อ่านไปแล้ว เพื่อตรวจสอบ การเปลี่ยนแปลง ตามระยะเวลาที่กําหนด

ดังนั้นเราต้องสร้างไฟล์ robots.txt ขึ้นมา เพื่อกำหนดว่าจะให้ Robot เข้าไปยังโฟลเดอร์ไหนได้บ้าง เราสามารถกำหนดได้ ข้อดีของมันคือ ยกตัวอย่างเช่น คุณมีไฟล์รูป xxx แล้วดันไปอัพในโฟลเดอร์ xxx/test.jpeg หากคุณไม่ซ่อน Robot ไว้รับรองได้เป็นดาราในเนตแน่นอนครับ ดังนั้นเราต้องมีอะไรที่ไม่ให้บอทมันวิ่งมาเก็บไฟล์ในโฟลเดอร์นี้เป็นต้น หากถามว่าทำไมต้องอัพ xxx ขึ้นไป อันนี้ผมยกตัวอย่าง อิอิ(อย่าอยากรู้นักเลยนะ เหอะๆ)

robots.txt จะต้องนำมาวางไว้ที่ Root Directory (ไดเรกเทอรี่เริ่มต้นของเวบไซค์)

ตัวอย่างไฟล์ robots.txt
# Robots Fixed
# Design For Gootum
# http://www.Gootum.com
# Contact  hackicq@hotmail.com

User-agent: *
Disallow: /xxx/
Disallow: /pic/
Disallow: /images/

ความหมาย และคําอธิบาย

# Robots Fixed
# Design For Gootum
# http://www.Gootum.com
# Contact hackicq@hotmail.com

ปิดกั้นด้วย # เป็นคําอธิบาย (comment) เพื่อให้ Spider ไม่สนใจข้อความในบรรทัดนี้
จากตัวอย่างคือไม่ให้ Robot เข้าไปเก็บข้อมูลที่โฟลเดอร์
/xxx/
/pic/
/images/

User-agent : webcrawler
Disallow :
อนุญาตให้ webcrawler ทําดัชนีได้โดยไม่มีข้อกําหนด

User-agent : lycra
Disallow : /
ไม่อนุญาตให้ lycra ทําดัชนีที่ Server นี้ โดยปิดกั้นด้วย /

User-agent: *
Disallow:

หากแบบนี้คืออนุญาตทั้งหมดครับดูตัวอย่างได้ที่ http://blog.gootum.com/robots.txt



ที่มา : http://blog.gootum.com/seo-blog/robotstxt

SEO คืออะไร

SEO "Search Engine Optimization"
SEO "Search Engine Optimization" คือ การตลาดอิเล็กทรอนิกส์ ชนิดหนึ่ง ซึ่งก็คือ เป็นหลักการหรือเทคนิคต่างๆ ในการปรับปรุง เว็บไซน์ เพื่อที่จะทำให้ เว็บไซต์ ติดอันดับต้นๆ ในส่วนของผลลัพธ์ของการค้นหา ทางด้านซ้าย (Natural Result) ของเว็บเสิร์ชเอนจิ้น ด้วยคำค้นด้วยคีย์เวิร์ด ที่มีความเกี่ยวข้องกับสินค้า หรือว่าข้อมูลต่างๆ ของเว็บไซต์เรา ไม่ว่าจะเป็น Google, MSN, Yahoo ซึ่งเป็นเสิร์ชเอนจิ้นหลักๆ ที่คนทั่วโลกนิยมใช้ในการค้นหาข้อมูล




       หลักการตลาดของ SEO (Search Engine Optimization) เป็นการตลาดบนโลกอินเทอร์เน็ต ที่ผู้ที่ทำ การตลาดอิเล็กทรอนิกส์ จะต้องมีความอดทน เนื่องจาก การทำ SEO นั้นต้องใช้เวลาและความชำนาญ ของผู้ที่มีความรู้ทางด้านนี้ด้วย นอกจากนี้ยังต้องมีการ ติดตามความเคลื่อนไหว ข้อกำหนด ข้อเปลี่ยนแปลงต่างๆ ของเสิร์ชเอนจิ้น (Search Engine Update) อยู่ตลอดเวลาเพื่อจะได้ปรับหรือแก้ไข ในส่วนต่างๆ ของเว็บไซต์เราเอง  ที่สำคัญในการทำ SEO นั้นระยะเวลาในการติดอันดับ ในเสิร์ชเอนจิ้นนั้น เราไม่สามารถที่จะควบคุมได้ บางครั้งอันดับอาจจะขึ้นหรือลง ดังนั้นต้องมีความเข้าใจถึงหลักการ ในการจัดอันดับของ เสิร์ชเอนจิ้น แต่ละชนิดชนิด บวกกับประสบการณ์ของผู้ที่ ทำ SEO ด้วย

วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2556

การทำ Normalization คืออะไร


Normalization คืออะไร

เป็นวิธีการลดความซ้ำซ้อนของข้อมูลที่อาจเกิดขึ้นได้ มักใช้ในการออกแบบฐานข้อมูลที่เป็นแบบ Relational Database ซึ่งการทำ Normalization นี้จะช่วยให้ความซ้ำซ้อนของข้อมูลลดลง

และทำการเพิ่มข้อมูล ลบข้อมูล หรือแก้ไขข้อมูลที่อยู่ในรีเลชั่นได้โดยไม่ผิดพลาด หรือเกิดความไม่คงที่ ไม่แน่นอนและความขัดแย้งของข้อมูลที่เรียกว่าความผิดปกติ (Anomaly)
ซึ่งหลักการทำ Normalization นี้ จะทำการแบ่งตารางที่มีความซ้ำซ้อนของข้อมูลออกมาเป็นตารางย่อย ๆ และใช้ เป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างตาราง
ซึ่งความซ้ำซ้อนของข้อมูลในรีเลชั่นอาจทำให้เกิดความผิดปกติที่แบ่งออกเป็น 3 ลักษณะคือ

1) ความผิดปกติจากการเพิ่มข้อมูล (Insertion Anomaly)
2) ความผิดปกติจากการลบข้อมูล (Deletion Anomaly)
3) ความผิดปกติจากการแก้ไขข้อมูล (UPdate Anomaly)



ประโยชน์ของการ Nomalization
1) เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการออกแบบฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ 
2) ทำให้ทราบว่ารีเลชั่นที่ออกแบบมานั้น ก่อให้เกิดปัญหาหรือไม่และด้านใดบ้าง
3) ถ้ารีเลชั่นที่ออกแบบมานั้นก่อให้เกิดปัญหา จะมีวิธีแก้ไขอย่างไร
4) เมื่อแก้ไขแล้วอาจรับประกันได้ว่ารีเลชั่นนั้นจะไม่มีปัญหาอีกหรือถ้ามีก็ลดน้อยลง





หลักการทำ Nomalization
..............หลักการทำ Normalization สิ่งสำคัญคือ"การลดความซ้ำซ้อนและโอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดกับข้อมูลได้" ซึ่ง การที่จะทำให้บรรลุจุดประสงค์ดังกล่าวจะต้องมีเกณฑ์และขั้นตอนในการวิเคราะห์ข้อมูล โดยทั่วไปเราต้องรู้ก่อนว่าแต่ละตารางมี field ใดบ้างสามารถบ่งชี้หรือค้นหาข้อมูลได้ เช่น เมื่อทราบรหัสลูกค้า จะ ทำให้สามารถค้นหา ชื่อ,นามสกุล,ที่อยู่ ฯลฯ ได้สำหรับเกณฑ์เหล่านี้เราจะเรียกว่า "Functionl Dependency" (FD) ใชัสัญลักษณ์ แทนการกำหนดค่าระหว่าง field


คุณสมบัติที่สำคัญอีกประการของการทำ Normalizationคือ เมื่อตารางใดจัดอยู่ใน Normal Form ใด แล้วจะต้องมีคุณสมบัติของ Normal Form ที่ต่ำกว่าเสมอ เช่น ถ้าตารางใดเป็น 3N จะต้องมีคุณสมบัติของ 1N และ 2N อยู่ด้วย



รูปแบบนอร์มัลระดับที่ 1, 2 และ 3 (Fist, Second and Third Normal Form)

รูปแบบนอร์มัลทั้ง 3 รูปแบบนี้ถูกนิยามขึ้นมาโดยคอดด์ในปี พ.ศ. 2515 แต่หลังจากนั้น 2 ปี รูปแบบระดับที่ 3 ได้ถูกนิยามให้มีความรัดกุมขึ้น โดย บอยส์ (Boyce) และคอดด์ จากนั้นได้ตั้งชื่อรูปแบบนี้ใหม่ว่า Boyce Codd Normal Form หรือ BCNF


1.รูปแบบการทำ Nomalization (Fist Normal Form : 1NF)
...............การปรับรีเลชั่นให้อยู่ในรูปแบบนอร์มัลระดับที่ 1 คือ การปรับจากรีเลชั่นที่ไม่นอร์มัล (Un normalized relation) ซึ่งได้แก่รีเลชั่นที่มีข้อมูลในบางช่องมากกว่า 1 ค่า ดังนั้น การปรับในระดับนี้ก็ได้แก่การขจัดกลุ่มที่ซ้ำกัน (Repeating groups) ออกไปเสีย ดังที่ได้นิยามไว้ ดังนี้

นิยาม รีเลชั่นใด ๆ กล่าวได้ว่าอยู่ในรูปแบบนอร์มัลระดับที่ 1 (1NF) ถ้ารีเลชั่นไม่มีกลุ่มที่ซ้ำกัน


2.รูปแบบการทำ Nomalization (Second Normal Form : 2NF)
.............รูปแบบนอร์มัลระดับ 2 และ 3 นี้จะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างคัย์หลักกับแอททริบิ้วท์อื่น ๆ ที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งส่วนใดของคีย์หลักหรือเรียกว่า นันคีย์แอททริบิ้วท์ (Nonkey Attribute) 

นิยาม รีเลชั่นใด ๆ จะจัดอยู่ในรูปแบบนอร์มัลระดับที่ 2 (2NF) ถ้ารีเลชั่นนั้นเป็น 1NF และนันคีย์แอททริบิ้วท์ทุกตัวต้องขึ้นอยู่กับคีย์หลักอย่างแท้จริง โดยต้องไม่มีนันคีย์แอททริบิ้วท์ตัวใด ขึ้นกับส่วนใดส่วนหนึ่งของคีย์หลัก (ถ้าคีย์หลักประกอบด้วยแอททริบิ้วท์มากกว่า 1 ตัวขึ้นไป) 


3.รูปแบบการทำ Nomalization (Third Normal Form: 3NF)
.............รีเลชั่นที่อยู่ในรูปแบบนอร์มัลระดับที่ 3 คือรีเลชั่นที่อยู่ในรูปแบบนอร์มัลระดับที่สองแล้ว และไม่มีแอททริบิวท์ใดขึ้นอยู่กับแอททริบิ้วท์อื่น ๆ ที่ไม่ใช่คีย์หลัก นั่นคือแอททริบิวท์ทุกตัวจะต้องขึ้นอยู่กับคีย์หลักเท่านั้น 


4.รูปแบบการทำ Nomalization (Boyce-Codd Normal Form : BCNF)
..............คือ รีเลชั่นที่อยู่ในรูปแบบนอร์มัลระดับที่สองแล้ว และตัวกำหนดค่า (Determinant) ทุกตัวในรีเลชั่นนั้นเป็นคีย์คู่แข่ง (Candidate Key) ซึ่งในบางกรณีแม้รีเลชั่นจะอยู่ในรูปนอร์มัลระดับที่สาม ก็ยังมีโอกาสที่จะเกิดความผิดปกติจากการจัดการข้อมูลได้ โดยที่ความผิดปกติจากการจัดการข้อมูลจะเกิดขึ้นได้ในกรณีที่เกิดเงื่อนไข 3 ประการคือ


1) รีเลชั่นมีคีย์คู่แข่งมากกว่าหนึ่งชุด
2) คีย์คู่แข่งเหล่านี้ประกอบด้วยแอททริบิวท์หลายตัวรวมกัน คือเป็นคีย์รวม
3) คีย์คู่แข่งที่เป็นคีย์รวมเหล่านี้มีแอททริบิวท์บางตัวที่เหมือนกัน

การแปลงให้เป็นรีเลชั่นในรูปแบบของนอร์มัลบอยส์-คอด ทำโดยคัดลอกแอททริบิวท์ที่เป็นตัวที่กำหนดค่า ซึ่งไม่ใช่เป็นคีย์คู่แข่งออกมาเป็นรีเลชั่นใหม่อีกรีเลชั่นหนึ่ง โดยให้เป็นคีย์หลักของรีเลชั่นนั้นและดึงแอททริบิวท์ที่ขึ้นกับแอททริบิวท์ที่เป็นตัวกำหนดค่านั้นออกมาอยู่ในรีเลชั่นใหม่ด้วย


5.รูปแบบการทำ Nomalization (Forth Normal Form : 4NF)
................รีเลชั่นจะอยู่ในรูปแบบนอร์มัลระดับที่สี่ เมื่อรีเลชั่นนั้นอยู่ในรูแบบนอร์มัลบอยส์-คอด และต้องไม่มีการขึ้นต่อกันแบบกลุ่มในรีเลชั่นนั้น ซึ่งการขึ้นต่อกันแบบกลุ่ม (Multi valued) Dependency) ในรีเลชั่นจะเกิดขึ้นเมื่อมีแอททริบิวท์อย่างน้อย 3 แอททริบิวท์เช่น A B C และแต่ละค่าของ A จะสามารถกำหนดกลุ่มของข้อมูลในแอททริบิวท์ B และแต่ละค่าของ A จะสามารถกำหนดกลุ่มของข้อมูลในแอททริบิวท์ C และข้อมูลในแอททริบิวท์ BและC เป็นอิสระไม่ขึ้นต่อกัน การที่แอททริบิวท์ A สามารถกำหนดกลุ่มของข้อมูลในแอททริบิวท์ B เขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ A->->B การแปลงรีเลชั่นในรูปแบบนอร์มัลระดับที่สี่ ทำโดยการกำจัดการขึ้นต่อกันแบบกลุ่มออกไป โดยแยกรีเลชั่นออกเป็นสองรีเลชั่น แต่ละรีเลชั่นเก็บข้อมูลที่ขึ้นต่อกัน


6.รูปแบบการทำ Nomalization (Fifth Normal Form : 5NF)
...............นอมัลระดับนี้ค่อนข้างจะเกิดขึ้นยาก สำหรับรีเลชั่นที่จะมีโครงสร้างในแบบ 5NF จะต้องมีคุณสมบัติของ 4NF และคุณสมบัติ Join Dependency ซึ่งเป็นคุณสมบัติของการนำรีเลชั่นย่อยที่เกิดจากการแตกรีเลชั่นเดิมมารวมกัน แล้วได้ข้อมูลเช่นเดียวกับรีเลชั่นเดิม


นอมัลระดับนี้ค่อนข้างจะเกิดขึ้นยาก สำหรับรีเลชั่นที่จะมีโครงสร้างในแบบ 5NF จะต้องมีคุณสมบัติของ 4NF และคุณสมบัติ Join Dependency ซึ่งเป็นคุณสมบัติของการนำรีเลชั่นย่อยที่เกิดจากการแตกรีเลชั่นเดิมมารวมกัน แล้วได้ข้อมูลเช่นเดียวกับรีเลชั่นเดิม

วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556

วิธีการเปิด Group Policy

Group Policy   คือ ฟีเจอร์หนึ่งที่ใช้ใน การกำหนดนโยบายหรือข้อบังคับต่างๆ ที่ผู้ดูแลระบบต้องการให้ผู้ใช้งานทั้งหมดหรือบางส่วนต้องปฏิบัติตาม

วิธีการเรียกใช้ 

คลิก Start -> Run    หรือ  กดปุ่ม Start + R


จะขึ้น หน้าต่าง Run  ขึ้นมา
พิมพ์ gpedit.msc ในช่อง Open แล้วคลิกปุ่ม OK


จะได้หน้าตาดังรูปครับ





วันพฤหัสบดีที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ใช้รูปภาพค้นหาข้อมูลแทนอักษร ด้วย google image



ไปที่เว็บ google.com   เลือกที่ค้นหารูปภาพดังรูปครับ




การทำ login window form ด้วย vb.net ฐานข้อมูล sql server 2008 r2

 
      เป็นการทำ  ระบบ login  โปรแแกรมนะครับ  ภาษาที่ใช้เขียน คือ vb.net  ครับ ฐานข้อมูล  SQL server 2008 r2  ลองนำไปศึกษากันดูนะครับ ตาม VDO  เลยครับ



How to vlan switch cisco 2950 on Cisco Packet Tracer

การ ทำ LVAN  บน switch  cisco 2950   ด้วย Cisco Packet Tracer   


ลองนำไปทดสอบดูได้ครับ วิธีทำใน วีดีโอเลยนะครับ 

       VLAN (Virtual Lan) คือ การจัดกลุ่ม port ของ switch เป็นกลุ่มๆ โดยอาศัยตัวซอฟแวร์ภายในตัวของมันเองเพื่อวัตถุประสงค์ในการจำกัดหรือควบคุม การติดต่อสื่อสารระหว่าง port ที่แบ่งไว้ หรือความหมายของ vlan สั้นๆคือ การจำกัด Broadcast นั่นเอง



โหลดโปรแกรมที่นี่  Cisco Packet Tracer  Download

การคำนวณ Subnet mask

 Subnet mask เป็น Parameter อีกตัวหนึ่งที่ต้องระบุควบคู่กับหมายเลข IP Address หน้าทีของ Subnet mask ก็คืิอ การช่วยในการแยกแยะว่าส่วนใดภายในหมายเลข IP Address เป็น Network Address และส่วนใดเป็นหมายเลข Host Address ดังนั้น ท่านจะสังเกตได้ว่า เมื่อเราระบุ IP Address ให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์์ เราจำเป็นต้องระบุ Subnet mask ลงไปด้วยทุกครั้ง
บทความการคำนวณ หา Subnet นี้ ไม่ได้ลงรายละเอียด ถึงขนาด Bit น่ะครับ เพราะตัวผมเองไม่เกงเรื่องพวกนี้ ผมคิดว่าถ้า หาตาม internet  หรือ หนังสือจะทำให้เข้าใจง่ายกว่าที่อ่านจากบทความนี้  ผมจะเน้นเรื่องของการ คำนวณยังไงให้ไว ให้ถูกต้องแม่นยำเพื่อใช้สำหรับ สอบ หรือ ประโยชน์อื่นๆ  น่ะครับ






Default Subnet mask ของแต่ล่ะ Class ดั้งนี้
• Class A จะมี Subnet mask เป็น 255.0.0.0 หรือเลขฐานสองดังนี้
11111111.00000000.00000000.00000000
(รวมเลข 1 ให้หมด ก็จะได้เท่ากับ 255)

• Class B จะมี Subnet mask เป็น 255.255.0.0 หรือเลขฐานสองดังนี้
11111111.11111111.00000000.00000000

• Class C จะมี Subnet mask เป็น 255.255.255.0 หรือเลขฐานสองดังนี้
11111111.11111111.11111111.00000000

มาถึงจุดนี้ผมอยากให้ท่านสังเกตว่า
"ตำแหน่งของ Bit ไหน ในหมายเลข IP Address ที่ถูกกันไว้ให้เป็น Network Address หรือ Subnet Address จะมีค่าของ Bit ตำแหน่งที่ตรงกันใน Subnet mask เป็น 1 เสมอ"
หลักการพื้นฐานของการทำ Subnet

หลักการทำงานมีอยู่ว่า เราจะต้องยืม bitในตำแหน่งที่แต่เดิมเคยเป็น Host Address มาใช้เป็น Sub-network Address ด้วยการแก้ไขค่า Subnet mask ให้เป็นค่าใหม่ที่เหมาะสม

สูตรการคำนวณ  2 ยกกำลัง n  - 2 = ??ู

การวางแผน คำนวณ Subnet

1. หาจำนวน Segment ทั้งหมดที่ต้องการ Subnet address   จำนวนใน Segment ในที่นี้ นับจำนวน network ที่อยุ่ในแต่ล่ะฝั่งอขง Router หรือของ switch Layer 3 หรือ หากมีการ implement VLAN จะนับจำนวนของ VLAN ก็ได้

2. จำนวนเครื่อง computer ทั้งหมดในแต่ล่ะ Segment (ในที่นี้เราสมมุติ ว่าจำนวนเครืื่อง มีจำนวนใกล้เคียงกัน)

3. หาจำนวน bit ที่จะต้องยืมมาใช้เป็น Subnet Address โดยพิจารณาจาก ข้อ.1  และ ข้อ.2 โดยอาศัยสูตรง่าย ๆ
ถ้ายืมมาจำนวน x bit แล้ว ถ้านำเอา 2 มายกกำลังด้วย x แล้ว หักลบออกอีก 2 แล้วได้ค่ามากกว่า หรือ เท่ากับจำนวน
Subnet address ที่เราต้องการ
ขั้นต่อมา  ก้ต้องนำ bit ที่เหลือจากการยืมมา เข้าสูตรเดิมคือ  2 ยกกำลัง n -2 = ??
4. นำ subnet mask ที่ได้มาคำนวณร่วมกับหมายเลข Network Address เดิมเพื่อหา Subnet Address ทั้งหมดที่เป็นไปได้ เพื่อที่จะนำไปกำหนดให้กับ Network แต่ล่ะ Segment

5. คำนวณหมายเลข IP Address ที่เป็นไปได้ทั้งหมดในแต่ล่ะ Subnet แล้วนำไป กำหนดให้กับเครื่อง computer เครื่อง server  และแต่ล่ะ interface ของ router จนครบ

ตัวอย่างการคำนวณ น่ะครับ
Network Address  192.168.100.0
Subnetmask        255.255.255.192 (/26)

• ได้ทั้งหมดกี่ subnet

bit ที่ถูกยืมมา  2
255.255.255.11000000
ดั้งนั้น จำนวน subnet ที่ได้คือ 2 ยกกำลัง 2  - 2  = 2  subnet

• ได้ทั้งหมดกี่ Host
Bit ที่เหลือจากการยืมจากข้างบน  คือ 6
ก็นำมาเข้าตามสูตรเหมือนกัน 2 ยกกำลัง 6 - 2 =  62 host << ที่จะนำไปใช้กับเครื่อง ใ 1 วง network

• หมายเลข Subnet ที่ถูกต้องเป็นหมายเลขอะไรบ้าง ??
Subnet แรก   192.168.100.0 1 000000    192.168.100.64
Subnet สอง   192.168.100. 1 0 000000    192.168.100.128

• หมายเลข Host ในแต่ล่ะ subnet เป็นอย่างไร ?
Subnet แรก   192.168.100.64
ที่ใช้ได้ 192.168.100.65 - 192.168.100.126

Subnet สุดท้าย 192.168.100.128
ที่ใช้ได้ 192.168.100.129 - 192.168.100.190
___________________________________
อีกตัวอย่างการคำนวณ น่ะครับ
Network Address  192.168.100.0
Subnetmask        255.255.255.224 (/27)

• ได้ทั้งหมดกี่ subnet

้bit ที่ถูกยืมมา  3
255.255.255.1 1 1 00000
ดั้งนั้น จำนวน subnet ที่ได้คือ 2 ยกกำลัง 3  - 2  = 6 subnet

• ได้ทั้งหมดกี่ Host
Bit ที่เหลือจากการยืมจากข้างบน  คือ 5
ก็นำมาเข้าตามสูตรเหมือนกัน 2 ยกกำลัง 5 - 2 =  30 host << ที่จะนำไปใช้กับเครื่อง ใ 1 วง network

• หมายเลข Subnet ที่ถูกต้องเป็นหมายเลขอะไรบ้าง ??

Subnet Zero คือ 192.168.100.0  - 192.168.100.31 <<  ไม่ใช่น่ะครับ วงนี้
Subnet แรก  คือ   192.168.100.32  -  192.168.100.63
Subnet สอง  คือ   192.168.100.64  -  192.168.100.95
Subnet สาม  คือ   192.168.100.96  -  192.168.100.127
Subnet สี่    คือ   192.168.100.128  -  192.168.100.159
Subnet ห้า  คือ   192.168.100.160  -  192.168.100.191
Subnet หก  คือ   192.168.100.192  -  192.168.100.223
Broadcast  คือ   192.168.100.224  -  192.168.100.255  << อันนี้ก็ไม่ใช่น่ะครับ

จะเห็นได้ว่า มีแค่เพียง 6 subnet เท่านั้น ที่ใช้ได้  แต่ในทางปฏิบัติ เราสามารถใช้ คำสั่ง subnet zero ได้น่ะครับให้สามารถใช้งานได้ แต่ทีผมแนะนำให้ ลบออกสอง คือในทางทฤษฏี น่ะครับ แต่ก็ควรทำน่ะ
มาถึงจุดนี้ก้ต้องทำได้กัน้บางแล้วน่ะครับ  Laughing แต่มันยังไม่จบหรอกน่ะครับ ยังมีความซับซ้อนมากขึ้นไปอีก


ที่มา :   http://www.compspot.net

Nikon D4 กับ Nikon D800 แตกต่างกันอย่างไร


ที่มา http://froknowsphoto.com/nikon-d4-preview/





ที่มา http://www.bask1.com/index.php?lay=show&ac=cat_show_pro_detail&pid=210253






       










   สำหรับเหล่าตากล้องสายนิคอนนั้น การเปิดตัว Nikon D4 กับ Nikon D800 นั้น ถือเป็นเรื่องฮือฮาประจำปีเรื่องหนึ่งเลยล่ะครับ เพราะเป็นการส่งยักษ์ใหญ่ของสาย DSLR FX Format สองตัวออกมาชนกันอย่างจัง!! ของกล้องค่ายนิคอนกันเอง จริงๆแล้ว กล้องทั้งสองรุ่น น่าจะต่างชั้นกันอย่างชัดเจน เมื่อดูจากราคา ... โดย Nikon D800 ราคาประมาณ 9 หมื่น เฉียดแสน ส่วน Nikon D4 นั้นมีราคาเกือบ 2 แสนบาทเลยทีเดียว ดูจากราคาก็เหมือนกับว่า Nikon D4 นี่แหละ คือกล้องระดับสุดยอดที่สุดของ DSLR FX Format ของ Nikon แต่ทว่า จำนวน Pixel ในเซนเซอร์ที่ระดับฟูลเฟรมเหมือนกันของกล้องทั้งสองตัวนั้น Nikon D800 กลับได้ Pixel ที่เยอะกว่ามาก!! โดย Nikon D800 มีพิกเซล 36.3 ล้านพิกเซล ส่วน Nikon D4 มีพิกเซล 16 ล้านพิกเซล? ... แน่นอน ว่าเรื่องพิกเซลมันไม่ค่อยส่งผลหลักหรอกครับ สำหรับไฟล์ภาพ แต่พิกเซลที่มากกว่ากันเกินครึ่ง!! นั้น มันก็แหม~~ ดูน่ากังขามากกว่าอ่ะนะ (16 x 2 = 32 ... ยังไม่เท่า 36.3 ของ D800 เลย) ... แล้วเจ้าสองรุ่นนี้ ราคากลับต่างกันประมาณ 1 แสนบาทเลยนะครับ -*- ราคา D4 ตัวเดียว ซื้อ D800 ได้ถึง 2 ตัว!! ... แล้วยังงี้ จะยอมลงทุนซื้อ D4 ดีหรือ? แต่แน่นอนครับ สำหรับเหล่าตากล้องระดับโปรจริงๆ เค้าจะแยกออกครับ ว่าอะไรคือสิ่งที่จำเป็นจริงๆสำหรับกล้องระดับโปร และอะไรที่ทำให้ D4 คู่ควรกับราคาที่แพงกว่า D800 ถึงประมาณ 100,000 บาท ^ ^" ... แต่ผมนั้น ... 555+ แยกไม่ออก ^ ^" เรื่องการกันฝนกันฝุ่นนั้น ทาง D800 ก็มีซีลเหมือนกัน ... สรุปแล้ว ผมก็ไม่รู้อยู่ดี เพราะผมก็ไม่ได้เป็นตากล้องเก่งๆแต่อย่างใด ^ ^ ใครรู้ ช่วยตอบให้หายข้องใจทีครับ ส่วนตัวเข้าใจว่าออพชั่นต่างๆของ D4 ที่มากกว่า เอื้อต่อการเก็บภาพในระดับโปรมากกว่า ... เพียงแต่ D800 จะทำได้แย่มากจนถึงขนาดต้องไปเพิ่มเงินอีกเป็นแสน เพื่อตอบสนองความต้องการที่ D800 ให้ไม่ได้เชียวหรือ? ส่วนตัวรู้สึกว่าแค่ D7000 ไฟล์ภาพก็สุดยอดแล้วอ่ะครับ ^ ^" (เท่าที่เสิร์ชๆข้อมูลดู เห็นบอกว่า Nikon D4 เหมาะกับการออกไปถ่ายรูปสดๆ ลุยๆ ส่วน D800 เหมาะกับการถ่ายในสตูหรูๆน่ะครับ แต่โดยส่วนตัวก็ยังไม่เมคเซนส์อยู่ดี)


 ที่มา : http://journey-trip-review.blogspot.com/2012/02/nikon-d4-nikon-d800.html