วันพฤหัสบดีที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ใช้รูปภาพค้นหาข้อมูลแทนอักษร ด้วย google image



ไปที่เว็บ google.com   เลือกที่ค้นหารูปภาพดังรูปครับ




การทำ login window form ด้วย vb.net ฐานข้อมูล sql server 2008 r2

 
      เป็นการทำ  ระบบ login  โปรแแกรมนะครับ  ภาษาที่ใช้เขียน คือ vb.net  ครับ ฐานข้อมูล  SQL server 2008 r2  ลองนำไปศึกษากันดูนะครับ ตาม VDO  เลยครับ



How to vlan switch cisco 2950 on Cisco Packet Tracer

การ ทำ LVAN  บน switch  cisco 2950   ด้วย Cisco Packet Tracer   


ลองนำไปทดสอบดูได้ครับ วิธีทำใน วีดีโอเลยนะครับ 

       VLAN (Virtual Lan) คือ การจัดกลุ่ม port ของ switch เป็นกลุ่มๆ โดยอาศัยตัวซอฟแวร์ภายในตัวของมันเองเพื่อวัตถุประสงค์ในการจำกัดหรือควบคุม การติดต่อสื่อสารระหว่าง port ที่แบ่งไว้ หรือความหมายของ vlan สั้นๆคือ การจำกัด Broadcast นั่นเอง



โหลดโปรแกรมที่นี่  Cisco Packet Tracer  Download

การคำนวณ Subnet mask

 Subnet mask เป็น Parameter อีกตัวหนึ่งที่ต้องระบุควบคู่กับหมายเลข IP Address หน้าทีของ Subnet mask ก็คืิอ การช่วยในการแยกแยะว่าส่วนใดภายในหมายเลข IP Address เป็น Network Address และส่วนใดเป็นหมายเลข Host Address ดังนั้น ท่านจะสังเกตได้ว่า เมื่อเราระบุ IP Address ให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์์ เราจำเป็นต้องระบุ Subnet mask ลงไปด้วยทุกครั้ง
บทความการคำนวณ หา Subnet นี้ ไม่ได้ลงรายละเอียด ถึงขนาด Bit น่ะครับ เพราะตัวผมเองไม่เกงเรื่องพวกนี้ ผมคิดว่าถ้า หาตาม internet  หรือ หนังสือจะทำให้เข้าใจง่ายกว่าที่อ่านจากบทความนี้  ผมจะเน้นเรื่องของการ คำนวณยังไงให้ไว ให้ถูกต้องแม่นยำเพื่อใช้สำหรับ สอบ หรือ ประโยชน์อื่นๆ  น่ะครับ






Default Subnet mask ของแต่ล่ะ Class ดั้งนี้
• Class A จะมี Subnet mask เป็น 255.0.0.0 หรือเลขฐานสองดังนี้
11111111.00000000.00000000.00000000
(รวมเลข 1 ให้หมด ก็จะได้เท่ากับ 255)

• Class B จะมี Subnet mask เป็น 255.255.0.0 หรือเลขฐานสองดังนี้
11111111.11111111.00000000.00000000

• Class C จะมี Subnet mask เป็น 255.255.255.0 หรือเลขฐานสองดังนี้
11111111.11111111.11111111.00000000

มาถึงจุดนี้ผมอยากให้ท่านสังเกตว่า
"ตำแหน่งของ Bit ไหน ในหมายเลข IP Address ที่ถูกกันไว้ให้เป็น Network Address หรือ Subnet Address จะมีค่าของ Bit ตำแหน่งที่ตรงกันใน Subnet mask เป็น 1 เสมอ"
หลักการพื้นฐานของการทำ Subnet

หลักการทำงานมีอยู่ว่า เราจะต้องยืม bitในตำแหน่งที่แต่เดิมเคยเป็น Host Address มาใช้เป็น Sub-network Address ด้วยการแก้ไขค่า Subnet mask ให้เป็นค่าใหม่ที่เหมาะสม

สูตรการคำนวณ  2 ยกกำลัง n  - 2 = ??ู

การวางแผน คำนวณ Subnet

1. หาจำนวน Segment ทั้งหมดที่ต้องการ Subnet address   จำนวนใน Segment ในที่นี้ นับจำนวน network ที่อยุ่ในแต่ล่ะฝั่งอขง Router หรือของ switch Layer 3 หรือ หากมีการ implement VLAN จะนับจำนวนของ VLAN ก็ได้

2. จำนวนเครื่อง computer ทั้งหมดในแต่ล่ะ Segment (ในที่นี้เราสมมุติ ว่าจำนวนเครืื่อง มีจำนวนใกล้เคียงกัน)

3. หาจำนวน bit ที่จะต้องยืมมาใช้เป็น Subnet Address โดยพิจารณาจาก ข้อ.1  และ ข้อ.2 โดยอาศัยสูตรง่าย ๆ
ถ้ายืมมาจำนวน x bit แล้ว ถ้านำเอา 2 มายกกำลังด้วย x แล้ว หักลบออกอีก 2 แล้วได้ค่ามากกว่า หรือ เท่ากับจำนวน
Subnet address ที่เราต้องการ
ขั้นต่อมา  ก้ต้องนำ bit ที่เหลือจากการยืมมา เข้าสูตรเดิมคือ  2 ยกกำลัง n -2 = ??
4. นำ subnet mask ที่ได้มาคำนวณร่วมกับหมายเลข Network Address เดิมเพื่อหา Subnet Address ทั้งหมดที่เป็นไปได้ เพื่อที่จะนำไปกำหนดให้กับ Network แต่ล่ะ Segment

5. คำนวณหมายเลข IP Address ที่เป็นไปได้ทั้งหมดในแต่ล่ะ Subnet แล้วนำไป กำหนดให้กับเครื่อง computer เครื่อง server  และแต่ล่ะ interface ของ router จนครบ

ตัวอย่างการคำนวณ น่ะครับ
Network Address  192.168.100.0
Subnetmask        255.255.255.192 (/26)

• ได้ทั้งหมดกี่ subnet

bit ที่ถูกยืมมา  2
255.255.255.11000000
ดั้งนั้น จำนวน subnet ที่ได้คือ 2 ยกกำลัง 2  - 2  = 2  subnet

• ได้ทั้งหมดกี่ Host
Bit ที่เหลือจากการยืมจากข้างบน  คือ 6
ก็นำมาเข้าตามสูตรเหมือนกัน 2 ยกกำลัง 6 - 2 =  62 host << ที่จะนำไปใช้กับเครื่อง ใ 1 วง network

• หมายเลข Subnet ที่ถูกต้องเป็นหมายเลขอะไรบ้าง ??
Subnet แรก   192.168.100.0 1 000000    192.168.100.64
Subnet สอง   192.168.100. 1 0 000000    192.168.100.128

• หมายเลข Host ในแต่ล่ะ subnet เป็นอย่างไร ?
Subnet แรก   192.168.100.64
ที่ใช้ได้ 192.168.100.65 - 192.168.100.126

Subnet สุดท้าย 192.168.100.128
ที่ใช้ได้ 192.168.100.129 - 192.168.100.190
___________________________________
อีกตัวอย่างการคำนวณ น่ะครับ
Network Address  192.168.100.0
Subnetmask        255.255.255.224 (/27)

• ได้ทั้งหมดกี่ subnet

้bit ที่ถูกยืมมา  3
255.255.255.1 1 1 00000
ดั้งนั้น จำนวน subnet ที่ได้คือ 2 ยกกำลัง 3  - 2  = 6 subnet

• ได้ทั้งหมดกี่ Host
Bit ที่เหลือจากการยืมจากข้างบน  คือ 5
ก็นำมาเข้าตามสูตรเหมือนกัน 2 ยกกำลัง 5 - 2 =  30 host << ที่จะนำไปใช้กับเครื่อง ใ 1 วง network

• หมายเลข Subnet ที่ถูกต้องเป็นหมายเลขอะไรบ้าง ??

Subnet Zero คือ 192.168.100.0  - 192.168.100.31 <<  ไม่ใช่น่ะครับ วงนี้
Subnet แรก  คือ   192.168.100.32  -  192.168.100.63
Subnet สอง  คือ   192.168.100.64  -  192.168.100.95
Subnet สาม  คือ   192.168.100.96  -  192.168.100.127
Subnet สี่    คือ   192.168.100.128  -  192.168.100.159
Subnet ห้า  คือ   192.168.100.160  -  192.168.100.191
Subnet หก  คือ   192.168.100.192  -  192.168.100.223
Broadcast  คือ   192.168.100.224  -  192.168.100.255  << อันนี้ก็ไม่ใช่น่ะครับ

จะเห็นได้ว่า มีแค่เพียง 6 subnet เท่านั้น ที่ใช้ได้  แต่ในทางปฏิบัติ เราสามารถใช้ คำสั่ง subnet zero ได้น่ะครับให้สามารถใช้งานได้ แต่ทีผมแนะนำให้ ลบออกสอง คือในทางทฤษฏี น่ะครับ แต่ก็ควรทำน่ะ
มาถึงจุดนี้ก้ต้องทำได้กัน้บางแล้วน่ะครับ  Laughing แต่มันยังไม่จบหรอกน่ะครับ ยังมีความซับซ้อนมากขึ้นไปอีก


ที่มา :   http://www.compspot.net

Nikon D4 กับ Nikon D800 แตกต่างกันอย่างไร


ที่มา http://froknowsphoto.com/nikon-d4-preview/





ที่มา http://www.bask1.com/index.php?lay=show&ac=cat_show_pro_detail&pid=210253






       










   สำหรับเหล่าตากล้องสายนิคอนนั้น การเปิดตัว Nikon D4 กับ Nikon D800 นั้น ถือเป็นเรื่องฮือฮาประจำปีเรื่องหนึ่งเลยล่ะครับ เพราะเป็นการส่งยักษ์ใหญ่ของสาย DSLR FX Format สองตัวออกมาชนกันอย่างจัง!! ของกล้องค่ายนิคอนกันเอง จริงๆแล้ว กล้องทั้งสองรุ่น น่าจะต่างชั้นกันอย่างชัดเจน เมื่อดูจากราคา ... โดย Nikon D800 ราคาประมาณ 9 หมื่น เฉียดแสน ส่วน Nikon D4 นั้นมีราคาเกือบ 2 แสนบาทเลยทีเดียว ดูจากราคาก็เหมือนกับว่า Nikon D4 นี่แหละ คือกล้องระดับสุดยอดที่สุดของ DSLR FX Format ของ Nikon แต่ทว่า จำนวน Pixel ในเซนเซอร์ที่ระดับฟูลเฟรมเหมือนกันของกล้องทั้งสองตัวนั้น Nikon D800 กลับได้ Pixel ที่เยอะกว่ามาก!! โดย Nikon D800 มีพิกเซล 36.3 ล้านพิกเซล ส่วน Nikon D4 มีพิกเซล 16 ล้านพิกเซล? ... แน่นอน ว่าเรื่องพิกเซลมันไม่ค่อยส่งผลหลักหรอกครับ สำหรับไฟล์ภาพ แต่พิกเซลที่มากกว่ากันเกินครึ่ง!! นั้น มันก็แหม~~ ดูน่ากังขามากกว่าอ่ะนะ (16 x 2 = 32 ... ยังไม่เท่า 36.3 ของ D800 เลย) ... แล้วเจ้าสองรุ่นนี้ ราคากลับต่างกันประมาณ 1 แสนบาทเลยนะครับ -*- ราคา D4 ตัวเดียว ซื้อ D800 ได้ถึง 2 ตัว!! ... แล้วยังงี้ จะยอมลงทุนซื้อ D4 ดีหรือ? แต่แน่นอนครับ สำหรับเหล่าตากล้องระดับโปรจริงๆ เค้าจะแยกออกครับ ว่าอะไรคือสิ่งที่จำเป็นจริงๆสำหรับกล้องระดับโปร และอะไรที่ทำให้ D4 คู่ควรกับราคาที่แพงกว่า D800 ถึงประมาณ 100,000 บาท ^ ^" ... แต่ผมนั้น ... 555+ แยกไม่ออก ^ ^" เรื่องการกันฝนกันฝุ่นนั้น ทาง D800 ก็มีซีลเหมือนกัน ... สรุปแล้ว ผมก็ไม่รู้อยู่ดี เพราะผมก็ไม่ได้เป็นตากล้องเก่งๆแต่อย่างใด ^ ^ ใครรู้ ช่วยตอบให้หายข้องใจทีครับ ส่วนตัวเข้าใจว่าออพชั่นต่างๆของ D4 ที่มากกว่า เอื้อต่อการเก็บภาพในระดับโปรมากกว่า ... เพียงแต่ D800 จะทำได้แย่มากจนถึงขนาดต้องไปเพิ่มเงินอีกเป็นแสน เพื่อตอบสนองความต้องการที่ D800 ให้ไม่ได้เชียวหรือ? ส่วนตัวรู้สึกว่าแค่ D7000 ไฟล์ภาพก็สุดยอดแล้วอ่ะครับ ^ ^" (เท่าที่เสิร์ชๆข้อมูลดู เห็นบอกว่า Nikon D4 เหมาะกับการออกไปถ่ายรูปสดๆ ลุยๆ ส่วน D800 เหมาะกับการถ่ายในสตูหรูๆน่ะครับ แต่โดยส่วนตัวก็ยังไม่เมคเซนส์อยู่ดี)


 ที่มา : http://journey-trip-review.blogspot.com/2012/02/nikon-d4-nikon-d800.html